การ์ดจอหรือที่ชอบเรียกกันสั้นๆว่า VGA หรือ GPU นั้นใครหลายๆคนคงจะรู้จักและรู้อยู่แล้วว่าการ์ดจอทำหน้าที่เป็นส่วนเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับ คอมพิวเตอร์ของเรานั่นเอง ทั้งในส่วนของการเล่นเกมและการทำงาน แต่ว่าการ์ดจอนั้นมีรุ่นประสิทธิภาพ รวมถึงขีดจำกัดการใช้งานแตกต่างกันไป วันนี้ ComputeAndMore จะบอกแนวทางเลือกซื้อการ์ดจอให้เหมาะแก่เราแบบจัดเต็ม
การ์ดจอนั้นมีผู้ผลิต ชิพการ์ดสำหรับทำงานอยู่หลัก 2 เจ้าในตลาด นั่นคือ Nvidia (AKA. ค่ายเขียว) และ AMD (AKA. ค่ายแดง) ที่เรียกว่าผลิตตัวชิพการ์ดมาทั้งในส่วนของ Gaming และ Workstation นั่นเอง โดยในส่วนของ Gaming นั้นจะพิเศษหน่อยตรงที่ว่าแบรนด์ต่างๆ จะร่วมเอาชิพการ์ดจาก AMD/Nvidia นั้นจะเอาชิพการ์ดไปออกแบบกันเองต่อด้วย ซึ่งต่างกับ Workstation ที่ส่วนมากทาง AMD/Nvidia นั้นจะทำออกมาขายกันเองนั่นเอง โดยเราสามารถสังเกตว่าการ์ดจอตัวไหนเป็น Gaming หรือ Workstation ได้จากชื่อรุ่นตามด้านล่างนี้เลย
การ์ดจอแบบออนบอร์ด (On-board VGA) คือ การ์ดจอที่ในคอมพิวเตอร์ราคาประหยัดโดยส่วนมากแบบออนบอร์ดนั้นจะมีมากับตัว CPU เลย ( CPU บางรุ่นก็ไม่มีนะต้องสอบถามก่อนซื้อดีๆ) โดยคุณภาพการ์ดจอแบบออนบอร์ดนั้นเรียกว่าใช้งานแก้ขัดดีกว่า สามารถใช้งานได้ปานกลาง ไว้ใช้ดูหนัง ฟังเพลง และ ใช้งานทั่วๆไป ถ้าเล่นเกมที่กราฟฟิคค่อนข้างหนักก็ไม่ไหวเหมือนกันนั่นเอง
การ์ดจอแยก (VGA) ตามที่เราได้พูดไป การ์ดจอแยกปัจจุบันมีตั้งแต่ตัวถูกไล่ไปแพง แต่ส่วนมากคุณภาพในการใช้งานนั้นจะดีกว่า On-Board VGA ในอีกระดับ การ์ดจอแยกนั้นต้องการช่อง PCI-E สำหรับเชื่อมต่อ VGA อย่างน้อย 1 ช่องนั้นเอง
อย่างที่เราทราบกันดีว่าการ์ดจอในตลาดนั้นมีหลายรุ่น หลายแบรนด์ หลายพัดลม หลากสีสันมากๆ ถ้าเราจะเลือก VGA ดีๆต้องมีหลักการพิจารณาอะไรบ้าง วันนี้เรามาดูไปด้วยกันเลย
การ์ดจอนั้นมีหลายรุ่นอย่างที่ทราบกันดี โดยสเป็คก็จะแตกต่างกันออกไป โดยจำแนกตามการใช้งาน ซึ่งเราสามารถแบ่งเป็น 3 รุ่นหลักๆได้ดังนี้
1. การ์ดจอทั่วไป หรือ ออนบอร์ด : เรียกได้ว่าเป็นการ์ดจอที่ใช้สำหรับทำงานทั่วไป ฟังเพลง เล่นเกมทั่วๆไปขำๆ ไม่ได้เล่นเกมกราฟฟิคระดับสูง พอไปวัดไปวาได้ส่วนมากก็จะเป็นรุ่นการ์ดรุ่น GT ของ Nvidia หรือ HD ของ AMD นั่นเอง
2. การ์ดจอสำหรับทำงาน : เหมาะแก่การทำงาน Render กราฟฟิค ทำงานวาดภาพสเกล สำหรับคนที่ใช้งานโดยไม่เอามาเล่นเกมเป็นหลักนั่นเอง แต่ใช่ว่าการ์ดนี้ไม่สามารถเล่นเกมได้นะ ยังคงเล่นเกมได้แต่ประสิทธิภาพอาจจะไม่เท่ากับการ์ดจอเล่นเกมที่มีราคาเท่ากันนั่นเอง หรือพูดให้ถูกคือ เลือกให้ตรงกับการใช้งานจะดีที่สุด โดยการ์ดจอทำงานจะมีรหัสเป็น Quadro, Tesla ของ Nvidia และ Firepro, Vega สำหรับ AMD
3. การ์ดจอสำหรับเล่นเกมส์ : หรือเรียกได้ว่าเป็นการ์ดจอที่พบเห็นได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไปนั่นเอง เป็นการ์ดจอที่ใช้เพื่อทำงานและเล่นเกมส์ โดยเหมาะแก่การแสดงผลที่ค่า Frame per second สูงๆ นอกจากนั้นยังเน้นในเรื่องของ Resolution ที่มีความละเอียดสูงอีกด้วย แต่จะมีข้อเสียที่กินไฟสูงกว่าการ์ดจอทำงานนั่นเอง โดยจะมีรหัสคือ Geforce GTX,Geforce RTX ของ Nvidia และ Radeon,Radeon RX ของ AMD นั่นเอง
เป็นอีกส่วนที่สำคัญมากในการพิจารณาการเลือกซื้อการ์ดจอ โดยเจ้า Core เหล่านี้จะทำหน้าที่คล้าย CPU เลยแต่หลายๆคนสงสัยทำไมมันถึงมีมากมายขนาด 1000-2000 cores ก็เนื่องมาจาก เจ้า Cores เหล่านี้ไม่ได้ทำงานแบบ Multitasking รวมไปถึงค่อนข้างช้ากว่า CPU อีกด้วย ซึ่งเจ้า Core เหล่านี้แหละที่ใช้ในการคำนวณ Pixel บนจอแสดงผลของเรานั่นเอง ซึ่งหมายความว่า ยิ่งมีจำนวนคอร์มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งแสดงผลภาพได้ไวขึ้นนั่นเอง
การ์ดจอนั้นจะมีหน่วยความจำสำหรับการรับส่งข้อมูลไปให้ CPU ประมวลผลโดย VGA บางรุ่นสามารถทำหน้าที่ประมวลผลแทน CPU ได้ ทำให้ CPU ไม่ต้องรับภาระในการประมวลผลนั่นเอง ซึ่งทำให้ทำงานได้เร็วขึ้น นั่นเอง ซึ่งถ้าซีพียูมีหน่วยความจำมากๆ ก็จะรับข้อมูลจาก ซีพียูมากขึ้นนั่นเอง
แต่สิ่งหนึ่งที่ควรทราบไว้คือต่อให้มีความจำเยอะมากแค่ไหนแต่ถ้า Bandwidth และ Bus width น้อยก็ไม่อาจให้ประสิทธิภาพดีๆได้นั่นเอง กล่าวคือ Bandwidth และ Bus Width นั้นเหมือนเป็นช่องทางการรับส่งข้อมูลซึ่งถ้าหากค่า Bus Width สูงก็เหมือนกับช่องทางที่กว้างสามารถรับส่งข้อมูลได้เร็วขึ้นไหลลื่นขึ้นซึ่งต่อให้การ์ดจอที่มี RAM เพียง 3 GB มีค่า Bus Width สูงกว่าย่อมมีประสิทธิภาพกว่าการ์ดจอ RAM 4GB แต่มีค่า Bus Width น้อยนั่นเอง
Clock speed หมายถึงความเร็วในการประมวลผลของ Core ภายในการ์ดจอนั้นๆภายใน 1 วินาทีนั่นเอง ยิ่งถ้ามีความเร็วในการ Clock speed มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ยกตัวอย่างเช่น ใน 1 วินาที สามารถทำงานประมวลผลได้ 2 ล้านครั้ง ถ้ามี core อยู่ 2000 cores ก็หมายความว่า ใน 1 วินาทีจะแสดงผลได้ 4000 ล้านพิกเซลนั้นเอง ถ้ามีความเร็วเพิ่มขึ้นก็จะยิ่งแสดงผลได้มากขึ้น ดีขึ้นนั่นเอง
หลายๆคนคงเคยได้ยินคำว่า คอขวด (Bottle Neck) กันมาบ้างแล้ว แต่อาจจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจกัน มันก็คืออาการที่การ์ดจอกับ CPU ทำงานไม่สัมพันธ์กันเนื่องจาก มีประสิทธิภาพที่แตกต่างกันเกินไป ยกตัวอย่างเช่น เราใช้ CPU ที่ไม่ค่อยแรงมาก และการ์ดจอระดับท็อปแต่ เมื่อเล่นเกมไปสักระยะ เกิดอาการกระตุกทั้งๆที่ CPU ทำงานเต็มที่ 100% มันเกิดจากอาการคอขวดที่ CPU ประมวลผลไม่มัน และ ช้ากว่าการ์ดจอที่รอประมวลผลนั่นเอง ซึ่งหมายความว่าเราควรจัดสเป็คให้มีประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกัน ไม่เด่นหรือด้อยด้านใดด้านหนึ่งจนเกินไปนั่นเอง
เรียกว่าเป็นอีกส่วนหนึ่งที่เราต้องพิจารณาเนื่องมาจากเมื่อมีการทำงานจ่ายไฟฟ้าเข้าไปก็ย่อมทำให้เกิดความร้อนและความร้อนย่อมทำให้ประสิทธิภาพของการทำงานนั้นลดลงไปได้ถ้าไม่มีการระบายความร้อนนั่นเอง ซึ่งการระบายความร้อนใน VGA นั้นส่วนมากจะพิจารณาด้วยรูปแบบของจำนวนพัดลม ดีไซน์ใบพัด ไปจนถึง Copper Heat pipe หรือ ท่อทองแดงที่อยู่ภายในการ์ดจอนั่นเองยิ่งถ้ามี Heat pipe เยอะก็จะมีช่องทางให้ระบายความร้อนได้ไวยิ่งขึ้นนั่นเอง
เป็นอีก 1 ประเด็นสำหรับใครที่ต้องการอัพเกรดสเป็คเนื่องมาจากการ์ดจอเป็นสิ่งที่ใช้ไฟเยอะมากที่สุดและถ้าหากเรามี Power Supply ตัวที่ดีมีประสิทธิภาพ มันก็จะสามารถจ่ายกระแสไฟไปเลี้ยงได้เพียงพอและในขณะเดียวกันถ้าหากเรามี Power Supply ที่ไม่สัมพันธ์หรือมีประสิทธิภาพต่ำกว่ากับตัวการ์ดจอก็อาจจะทำให้ชิ้นส่วนบางตัวในคอมพิวเตอร์ของเรานั้นไหมก็ได้ ทางที่ดีควรพิจารณาในส่วนนี้เพิ่มเติมไปด้วย
การ์ดจอนั้นมีรูปแบบ Form factor อยู่หลากหลายแบบ ดังนั้นก่อนจะทำการซื้อควรจะศึกษาให้ดีก่อนว่า เราสามารถนำมันใส่ประกอบไปได้จริงๆหรือไม่ เพราะบางทีเคสอาจจะสั้นเกินไป หรือ ไปติดอุปกรณ์อื่นๆได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเล่นเคสแบบ Mini ITX จะให้ใส่แบบ 3 พัดลมก็คงทำไม่ได้ ดังนั้นก็ควรจะเล่นการ์ดแบบ Mini ด้วยเช่นกัน
SLI หรือ Crossfire คือ การทำงานแบบ Multi-GPU หรือการทำงานโดยใช้การ์ดจอ 2 ใบขึ้นไปช่วยกันประมวลผลนั่นเองโดย SLI เป็นชื่อเรียกของ Nvidia ส่วน Crossfire เป็นชื่อเรียกของทาง AMD โดยมีข้อจำกัดว่าการทำ SLI หรือ Crossfire นั้นต้องใช้การ์ดจอที่อยู่ใน Series เดียวกัน ใกล้เคียงถึงจะทำให้เกิดผลลัพธ์ทีดี และแน่นอนว่าการต่อการ์ดจอ 2 ตัวย่อมทำให้เกิดการประมวลผลได้เร็วขึ้น มีค่า fps ที่สูงขึ้น แต่! สิ่งที่ตามมานั่นคือ ค่าไฟที่เพิ่มขึ้นจากการใช้พลังงานการ์ดจอ 2 ใบนั่นเอง ซึ่ง FPS ที่สูงขึ้นจริงๆนั้น อาจจะผลักดันได้นิดหน่อย ถ้าเราไม่ได้ใช้การ์ดจอที่ตันสุดทางราคาสุดแพงจริงๆ ก็ไม่สมควรที่จะทำนั่นเอง
- Resolution และ Refresh rate ก็ตรงกัน เคยไหมครับเรามี Monitor 144Hz แต่พอใช้งานจริงรู้สึกไม่ต่างอะไรกับ 60hz เลยเนื่องมาจากการลืมปรับตั้งค่า refresh rate ในส่วนนี้นั่นเอง
- เช็ค Port ของการ์ดจอให้ดีว่าเป็นแบบไหน อะไรบ้าง กี่พอร์ตกี่จอ ยกตัวอย่างเช่นจอของเรามีช่องพอร์ตแบบ VGA และ DVI-D เท่านั้นแต่ จอของเรามีแค่ช่อง HDMI และ DISPLAY PORT ก็จะทำให้เรามีปัญหาในการเชื่อมต่อจอได้ด้วยเช่นกัน
- เฟิร์มแวร์และไดรเวอร์สำหรับการใช้งานของการ์ดจอแบบ Workstation และ Gaming นั้นจะถูกออกแบบมาให้รองรับการทำงานต่างกันเพื่อประสิทธิภาพของการ์ดจอนั่นเอง โดย Workstation นั้นจะถูกออกแบบมาเพื่อรีดประสิทธิภาพของการ์ดจอ แต่ถ้าเป็น Gaming จะเน้นไปที่ประสิทธิภาพการทำงานร่วมกับ CPU เพื่อให้มีภาพของเกมออกมาดีที่สุดนั่นเอง
- ถ้าให้เลือกถามว่าระหว่าง Nvidia และ AMD ค่ายไหนดีที่สุดนั้นตอบได้เพียง ทั้ง 2 ค่ายมีข้อดี และ ข้อด้อยต่างกัน ล้วนแล้วแต่ดีด้วยกันทั้งคู่ อยู่ที่เราชอบเลยว่าอยากลองค่ายไหนมากกว่ากันนั่นเอง
- การวางการ์ดจอ หลายๆคนคงเคยเห็นการวางการ์ดจอในแนวตั้ง ซึ่งการวางแนวตั้งนี้ต้องพิจารณาจากตัวเคสว่ามี Slot รองรับหรือไม่ และเราจำเป็นต้องมีสาย Riser เพื่อเชื่อมระหว่าง Mainboard และ VGA เข้าด้วยกัน อีกทั้งผลเสียจากการวางการ์ดจอแนวตั้งอาจจะทำให้เกิด Airflow ไหลผ่านน้อยลงจึงทำให้เกิดอุณหภูมิการ์ดจอสูงได้อีกด้วย ดังนั้นการวางแนวของการ์ดจอก็จำเป็นต้องคิดดีๆว่า เราใช้งานการ์ดจอหนักไหม มีระบบระบายความร้อนที่ดีพอหรือเปล่านั่นเอง
หวังว่าคนที่ได้อ่านกันแล้วก็คงจะพอทราบข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับการ์ดจอยิ่งขึ้น และ เราควรเลือกใช้อุปกรณ์ให้เข้ากับงาน ความจำเป็นในการใช้งาน หรือ งบประมาณ ของเรานั่นเอง มองดูแล้วก็ไม่ได้ยากเกินไปใช่ไหมหละ มาลองจัดสเป็คกันได้ที่นี่ หรือ ถ้ามีข้อสงสัยเพิ่มเติมสามารถทักเข้ามาถามได้ที่เพจ ComputeAndMore ได้เลยเพราะที่นี่คืออีกระดับของคุณภาพ