เรียกได้ว่าเป็นหูฟัง แทบจะเป็นสิ่งของที่มีติดตัวสำหรับผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์หลายๆคน ภายในตลาดนั้นมีทั้งของถูกมากจนไปถึงแพงสุดขั้ว มีระบบ Surround , 5.1 , 7.1 หรืออื่นๆ แตกต่างกันไปมากมาย แต่เมื่อคุณจะตัดสินใจซื้อหูฟังตัวหนึ่ง มันมีอะไรที่เราต้องพิจารณาบ้าง เราเหมาะกับหูฟังประเภทไหน ใช้งานกับอะไรวันนี้ที่ ComputeAndMore จะมาพูดถึงศาสตร์ของหูฟังกันแบบเต็มที่ไปเลย
เสียง ( Sound ) หรือ คลื่นเสียง เกิดจากคลื่นการสั่นสะเทือนอย่างหนึ่งที่มีค่าความถี่ในช่วง 20 Hz- 20 kHz ที่คนเราสามารถรับรู้หรือได้ยินนั่นเอง ซึ่งหลังจากมีการศึกษาและวิจัยนี้อุปกรณ์ที่ใช้ในการแปลงตัวคลื่นสัญญาณสั่นสะเทือนจึงเกิดขึ้นหรือที่เราเรียก “หูฟัง” โดยมีการนำเทคโนโลยีนี้มาพัฒนาในส่วนต่างๆไม่ว่าจะเป็น Surround System ไปจนถึง Virtual 3D Sound เพื่อให้ระบบเสียงที่ออกมานั้นมีความสมจริงและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นนั่นเอง
ว่ากันว่า 1 คนมี 2 หู แต่รสนิยมในการสวมใส่หูฟังของแต่ละคนนั้นย่อมแตกต่างกันไปตามโอกาส และความชอบส่วนบุคคลดังนั้นจึงมีหูฟังที่ถูกออกแบบสำหรับผู้ใช้งานไว้ 3 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
1. In-Ear หรือ หูฟังแบบยัดเข้าไปในหูของเรานั่นเอง โดยหูฟังชนิดนี้มีข้อดีตรงที่ เล็ก กะทัดรัด พกพาง่าย ถ้าฟังในพื้นที่เสียงไม่ดังมากก็ได้ยินเสียงที่คมชัด เก็บรายละเอียดได้ง่าย แต่ข้อเสียของมันคือ ถ้าใส่เป็นระยะเวลานานอาจจะเกิดการระคายเคือง หรือ ทำให้เกิดบาดแผลที่บริเวณหูได้ อีกทั้งยากต่อการฟัง ถ้าเกิดเราอยู่ในสถานที่เสียงดัง หรือ มีเสียงรบกวนมากๆ อาจจะทำให้เราได้ยินเสียงไม่ชัดเจนเป็นต้น
2. On-Ear หรือ หูฟังแบบวางไว้บนหูนั่นเอง โดยหูฟังชนิดนี้จะมีลักษณะเป็นหูฟังขนาดปานกลางไว้สำหรับวางบนใบหูของเรา มีไดรเวอร์เสียงที่ใหญ่กว่าตัว In-ear ทำให้จำลองเสียงออกมาได้ดีกว่า ส่วนมากนิยมใช้ในการฟังเพลง หรือ ฟังเสียงแบบง่ายๆนั่นเอง
3. Over-Ear หรือ หูฟังแบบครอบหูนั่นเอง โดยหูฟังประเภทนี้จะมีแยกย่อยเป็นแบบ Headset หรือมีไมค์ติดตั้งในตัวหูฟังอยู่ด้วยนั่นเอง หูฟังประเภทนี้จะมีข้อดีที่ไดรเวอร์ในการจำลองเสียงจะใหญ่กว่าหูฟังทุกประเภททำให้ได้คุณภาพเสียงที่เรียกว่าดีกว่าหูฟังประเภทอื่นๆนั่นเอง อีกทั้งยังในหูฟังที่ใช้วัสดุครอบพื้นผิวอย่างดีทำให้รู้สึกสบายไม่แสบหู และยังสามารถกลบเสียงรบกวน รอบข้างได้อย่างดีทำให้สะดวกต่อการ ฟังเสียงเก็บรายละเอียดเสียงได้ครบถ้วนนั่นเอง แต่ข้อเสียคือพกพาได้ลำบาก เนื่องจากขนาดของตัวหูฟัง อีกทั้งยังดูเทอะทะเมื่อใช้งานนั่นเอง
โดยส่วนมากแล้ว หูฟังเกมมิ่งนั้นจะมีอยู่ 2 ประเภทหลักๆคือ In-ear และ Over-ear หรือ Headset โดยการใช้งานจะมีแตกต่างกันไปและมีการพัฒนาไดรเวอร์ของตัวหูฟังแบบ In-ear ขึ้นเพื่อให้มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับตัว Headset อีกด้วย
หลังจากได้รับรู้ไปแล้วถึงชนิดของหูฟังทีนี้เราจะมาพูดถึงปัจจัยความแตกต่างในเชิงราคาหูฟังแต่ละตัวบ้าง สิ่งหนึ่งที่เป็นปัจจัยในราคาที่แตกต่างกันนั่นก็คือ ระบบเสียงนั่นเอง หลายๆคนอาจจะเคยเห็นคำว่า 2.0, 4.1 ,5.1 , 7.1 หรือ 11.1 มาแล้วคงสงสัยมันคืออะไร ต่างกันตรงไหน เราจะมาพูดถึงระบบแบบคร่าวๆดังนี้
1.Stereo system หรือ หูฟังแบบ 2.0 หรือ 2.1 นั่นเอง โดยหูฟังระบบนี้แทบจะเป็นหูฟังมาตราฐานของหูฟังทุกชนิดเลยก็ว่าได้ที่มาของ 2.0 และ 2.1 เนี่ย มีแหล่งกำเนิดเสียง 2 จุด แบ่งออกเป็นซ้ายและขวา ภายในแหล่งกำเนิดเสียงนั่นก็จะประกอบด้วยไดรเวอร์หลักข้างละ 2-3 ตัวที่ทำหน้าที่ให้ เสียง ต่ำ กลาง สูง เหมาะสำหรับใช้งานทั่วไป ฟังเพลง เล่นเกม แต่จะมีข้อเสียในเรื่องมิติของเสียง เมื่อเทียบกับหูฟังแบบ Surround นั่นเอง
2. Surround system หรือ หูฟังแบบแหล่งกำเนิดเสียงหลายตัว โดยยกตัวอย่างที่เห็นได้ทั่วไปคือ 5.1 และ 7.1 เป็นต้น โดยที่มาของเลขตัวนี้มาจากแหล่งกำเนิดเสียงนั่นเอง 5.1 คือ เราจะได้ยินเสียง 5 ทิศทาง และมี ซับวูฟเฟอร์ ถ้าเป็น 7.1 คือ เราจะได้ยินเสียง 7 ทิศทาง และ 1 ซับวูฟเฟอร์ ซึ่งตัวซับวูฟเฟอร์คือดอกลำโพงที่มีหน้าที่ให้เสียงทุ้มลึกโดยเฉพาะนั่นเอง ข้อดีของระบบ Surround คือความสมจริงของเสียงนั้นจะสูงมาก โดยส่วนมากหูฟังชนิดนี้จะนิยมใช้สำหรับชมภาพยนตร์หรือเล่นเกมเป็นหลักนั่นเอง ถ้าเราเอามาฟังเพลงทั่วๆไป จะรู้สึกว่าเสียงมันแปลกๆ เนื่องจากเพลงส่วนมากจะใช้ฟังในระบบ stereo นั่นเอง ซึ่งข้อดีของระบบ Surround คือ บอกตำแหน่งและทิศทางได้สมจริง อีกทั้งยังได้บรรยากาศการใช้งานเสมือนเราอยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ
หลังจากรับรู้เรื่อง Surround แล้วอีก 1 ประเด็นสำคัญ คือ Virtual Surround กับ Real Surround หรือ Surround กับแท้หรือเทียมนั่นเอง เรามาอธิบายนิยามของมันกันก่อน
- Virtual Surround หรือ Surround แบบจำลอง คือระบบฟังเสียงแบบ 2.0 หรือ 2.1 มาจำลองผ่านไดรเวอร์หูฟังทำให้เกิดมิติเสียงจำลองทิศทางนั่นเอง โดยส่วนมากหูฟังหลายแบรนด์จะนิยมทำระบบนี้เนื่องมาจากข้อจำกัดภายในตัวหูฟังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ในตัวหูฟัง, น้ำหนักไปจนถึงราคานั่นเอง จึงทำให้การใช้ระบบเสียง 2.0 หรือ 2.1 มาจำลองเสียงนั้นเป็นทางออกสำหรับผู้ใช้งานที่อยากได้มีมิติเสียงที่ดีขึ้น สมจริงขึ้น ในราคาที่ไม่ค่อยแพงมากนั่นเอง
- True Surround หรือ Surround แบบแท้ คือ หูฟังที่มีดอกลำโพงอยู่ภายในที่พร้อมจะขับเสียงออกมาทุกทิศทางนั่นเอง ถึงแม้จะฟังดูยากในการเอาลำโพงมายัดไว้ในหูฟังแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ โดยส่วนมาก หูฟังแบบ Surround แท้นั้นจะมาพร้อมแจ็คเสียบหูฟังไดรเวอร์ 4 ตัว โดยเสียงที่มาจาก Surround แท้ๆนั้นเรียกได้ว่า สมจริงเป็นที่สุดซึ่งยิ่งถ้ามีไดรเวอร์ภายในหูฟังมากเท่าไหร่ก็จะยิ่ง แยกเสียงได้ชัดเจน รวมถึงบอกระยะความตื้นลึกหนาบางได้มากเช่นนั้นเอง
กล่าวโดยสรุป ใช่ว่า Virtual Surround นั้นจะไม่ดีไปเสียทั้งหมด มันแค่สู้แบบ True Surround ไม่ได้เฉยๆ ถ้าให้พูดถึงคุณภาพโดยรวมแล้วก็ยังถือว่าดีกว่า Stereo แบบทั่วๆไปอยู่ดี นั่นเอง
ถ้าให้พูดจริงๆ หูฟังเกมมิ่งเกียร์ ก็มีส่วนประกอบคล้ายหูฟังธรรมดานั่นแหละครับ เพียงแต่ใช้สำหรับการเล่นเกมนั่นเอง โดยจุดที่ต่างกันหลักๆของหูฟังเกมมิ่งกับหูฟังทั่วไป จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ประการหลักดังนี้
1. ไมโครโฟน : เรียกได้ว่าเป็นสิ่งแรกที่สำคัญมากสำหรับตัวหูฟังแบบเกมมิ่ง เนื่องมาจากในการเล่นเกมนั้นจำเป็นต้องมีการสื่อสารกันระหว่างผู้เล่นภายในทีม เพื่อความสะดวกในการเล่น หากเราใช้ไมโครโฟนแยกออกมาวางตรงหน้า หรือแบบหนีบก็อาจจะทำให้เล่นเกมได้ไม่ถนัดนักหรือ ไม่คุ้นชินต่อการเล่นได้นั่นเอง ซึ่งจะแตกต่างกับหูฟังธรรมดาที่ไม่มีไมค์หรือหูฟังที่ใช้สำหรับเสียงโดยเฉพาะที่จะตัดออพชั่นในส่วนนี้ไปเพื่อเพิ่มสมรรถนะด้านเสียงอย่างเต็มที่นั่นเอง
2. เสียง : เรียกได้ว่านี่คืออีก 1 ปัจจัยที่สำคัญมากๆในการเลือกหูฟัง ถึงหูฟังเกมมิ่งหลายๆแบรนด์จะมีลักษณะเสียงคล้ายๆกัน แต่จะมีเอกลักษณ์บางอย่างที่แต่ละแบรนด์มีแตกต่างกันออกไป เช่นบางแบรนด์เน้นไปที่เสียงใส คม ชัดในทุกรายละเอียด แต่บางแบรนด์จะเน้นไปที่เสียงกลาง ฟังสบายไม่แสบหู หรือ บางแบรนด์เน้นไปที่เบสหนัก ตอบโจทย์คนชอบฟังเสียงแบบเก็บรายละเอียดได้ชัดเป็นต้น แต่โดยทั่วไปแล้วหูฟังเกมมิ่งที่ดีจะต้องมีเหมือนกัน คือ Soundstage ที่ค่อนข้างกว้างกว่าหูฟังปกติทั่วไป สามารถแยกทิศทางเสียงได้อย่างชัดเจนนั่นเอง
ถ้าให้พูดกันตรงๆแล้ว ผมมองว่าหูฟังเกมมิ่งนั้น มีความสำคัญต่อการเล่นเกมมากๆทั้งในระดับของ Proplayer และ Player ทั่วๆไป ที่เล่นเกมแบบ Multiplayer หรือเกมที่เปิดให้มีการเล่นหลายๆคนนั่นเอง เนื่องจากการสื่อสารด้วยไมโครโฟน การฟังเสียงภายในเกม นั้นเปรียบเสมือนข้อได้เปรียบที่ถ้าเรามีอุปกรณ์ที่พร้อมกว่าและดีกว่า ก็ได้เปรียบมากกว่าผู้เล่นคนอื่นนั่นเอง แต่ถ้าเป็นผู้เล่นที่เล่นเกมแบบ Arcade หรือ เกมแนวเล่นคนเดียวอาจจะซื้อหูฟังเกมมิ่งที่มีตัวไดรเวอร์เสียงค่อนข้างดี เหมาะกับแพลทฟอร์มนั้น หรือ ไปหูฟังที่มีประสิทธิภาพเสียงสูงก็ย่อมได้เช่นกัน
แล้วหลังจากได้อ่านไปแล้ว ถ้าเราจะเลือกซื้อหูฟังเกมมิ่งซักตัวหละควรจะมีข้อพิจารณาก่อนเลือกซื้อดังต่อไปนี้
แน่นอนครับ เมื่อคุณเลือกซื้อหูฟังเราก็ต้องให้ความสำคัญของคุณภาพเสียงเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว โดยเฉพาะในส่วนของมิติของเสียง เนื่องมาจาก การเล่นเกมแนว FPS นั้นจำเป็นจะต้องใช้ทักษะในการฟังเสียงอย่างมากเพื่อระบุ หรือ จำแนกทิศทางของเสียง โดยหูฟังเกมมิ่งที่ดีต้องสามารถบอกได้อย่างชัดเจนเลยว่า มาจากจุดไหน มิติของเสียงจะไม่มารวมกันบอกตำแหน่งแค่ซ้ายหรือขวานั่นเอง โดยคุณภาพเสียงของ Headset นั้น ขึ้นอยู่กับขนาดของ Driver ยิ่ง driver ใหญ่ ก็จะให้ dynamic-range ที่ดียิ่งขึ้นครับ แต่มันก็ไม่ใช่เสมอไป เพราะขึ้นอยู่กับวัสดุที่เลือกมาทำ driver รวมไปถึงคุณภาพแม่เหล็กที่ใช้ด้วย แต่ใหญ่ไว้ก่อนจะดีที่สุด โดยขนาดตั้งแต่ 50mm นั้นถือว่าดีแล้วสำหรับหูฟังเกมมิ่งนั่นเอง มาถึงส่วนของ In-ear นั้นส่วนมากควรพิจารณาจากจำนวนไดรเวอร์ภายในตัวหูฟัง ถ้ามีจำนวนหลายตัวก็หมายถึงคุณภาพของเสียงจะดีขึ้นตามไปนั่นเอง
เนื่องจาก หูฟังแบบเกมมิ่งนั้น จะมาพร้อมกับไมโครโฟนใช้ในการสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีมบนอินเทอร์เน็ตนั่นเอง โดยไมโครโฟนที่ดีนั้นจะต้องมีคุณสมบัติที่รับเสียงได้คมชัด ตัดเสียงรอบข้างได้ค่อนข้างดี นอกจากนี้ถ้ามีคุณสมบัติในการเปิดปิด หรือ ถอดเก็บไมค์ได้ก็จะสะดวกต่อการใช้งานมากขึ้นอีกด้วย
ในการใช้งานหูฟังแบบ Headset นั้นส่วนมากจะกินเวลาค่อนข้างนานดังนั้น ความสบายในการใส่หูฟังจึงเป็นตัวเลือกที่ค่อนข้างสำคัญเช่นกัน เราควรเลือกหูฟังที่ไม่กดทับใบหู ระบายอากาศได้ดี มีน้ำหนักเบาเพื่อถนอมร่างกายของเราในการใช้งานนั่นเอง
เรียกได้ว่าอีก 1 ปัจจัยสำคัญในการเลือกใช้งานหูฟังสำหรับเล่นเกมนั้นก็มีให้เลือกทั้งแบบ Opened Headset และ Closed Headset ให้เลือก ซึ่งทั้งสองแบบก็มีข้อดีแตกต่างกันไปอย่าง Opened Headset จะได้ในส่วนของการระบายอากาศที่ดีกว่าและยังได้ยินเสียงรอบตัวในขณะใช้งาน ส่วน Closed Headset จะได้ในส่วนการปิดกั้นเสียงรบกวนจากภายนอก และ เสียงของตัวหูฟังก็จะไม่ไปรบกวนคนอื่นอีกด้วยนั่นเอง
ในปัจจุบันมีรูปแบบการเชื่อมต่อของหูฟังมากมาย ไม่ว่าจะด้วย AUX 3.5,USB,USB-C หรือ แบบไร้สาย หรือที่เราเรียกกันว่า Wireless โดยส่วนที่นิยมกันมากและถูกนำมาเปรียบเทียบกับบ่อยก็คือแบบ มีสาย Wired และ ไร้สาย Wireless นั่นเอง หลายๆคนคงเกิดคำถามว่าถ้าใช้ Wireless แล้วจะไม่มีอาการ High Latency หรือเสียงดีเลย์หรอ ต้องตอบตรงนี้เลยว่า ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน แต่ละแบรนด์ต่างพัฒนาจนทำให้เกิดหูฟัง Wireless Low latency ที่ให้เสียงได้เหมือนเสียบสาย แทบจะไม่มีอาการดีเลย์เลยก็ว่าได้นั่นเอง
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งส่วนที่ทำให้ราคาของหูฟังนั้นแตกต่างกันไป โดยในส่วนนี้จะมีความคุ้มค่ากันออกไป โดยจะมีทั้ง วัสดุ ระบบเสียง รูปทรง ดีไซน์ ไปจนถึง สีไฟ RGB หรือ ส่วนอื่นๆเพิ่มเติม โดยยกตัวอย่างแบรนด์ดังนี้
- HyperX นั้นถือว่าทำได้โดดเด่น ในราคาปานกลาง คุณภาพเสียงคมชัด มีซาวน์การ์ดระบบจำลองเสียง Surround ใช้งานได้อย่างดี
- Razer ที่มีรูปลักษณ์ดีไซน์สวยงาม เสียงเบสค่อนไปทางหนักพร้อมระบบเสียง Surround ที่พร้อม Support นั่นเอง
- Corsair ที่มีรูปลักษณ์ดีไซน์ที่แปลกไม่ซ้ำใคร รวมไปถึง Program Support iCUE ที่สามารถปรับไฟ ย่านเสียงต่างๆได้นั่นเอง
- Logitech ที่ออกแบบมาเพื่อเหล่าเกมเมอร์จะมีรูปทรงที่แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆแต่แลกมาด้วย คุณภาพของเสียงที่ถือว่าดีจากตัวไดรเวอร์ของ Logitech นั่นเอง
และแบรนด์อื่นๆอีกมากมายเช่น Beyerdynamic,Sennheiser,Asus,Aorus หรือ Ttesport เป็นต้น
อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องรู้คือ Impedence หรือ ความต้านทานของหูฟัง โดยจะวัดความต้านทานจากไฟ DC ที่เข้ามาในตัวหูฟัง ซึ่งตัว Impedence เนี่ยยิ่งถ้ามีค่าสูงก็จะยิ่งให้เสียงดีกว่าแบบต่ำ เนื่องจากตัวขดลวดที่พันอยู่บนแม่เหล็กนั้นจะทำปฏิกริยากัน ทำให้เกิดเสียงหรือการสั่นสะเทือน ดังนั้นเมื่อมีอิมพีแดนซ์สูงก็จะยิ่งให้เสียงดีมาก จะมีอยู่ 4 ระดับดังนี้
- Impedance : 5 - 40 Ω จะเป็นหูฟังเหมาะสำหรับใช้กับเครื่องเล่นพกพา เช่น iPod, iPhone, iPad, มือถือ หรือ เครื่องเล่นเพลงพกพาทั่วไป
- Impedance : 30 - 80 Ω เป็นหูฟังที่สามารถใช้กับ Laptop หรือ มือถือได้ แต่ต้องเปิด volume มากหน่อย ถ้าใช้แอมพ์พกพาจะขับออกได้ง่าย มีรายละเอียดที่เต็มที่
- Impedance : 50 - 300 Ω หูฟังพวกนี้จะเริ่มเป็นแบบครอบหัวละ เป็นหูฟังที่ถูกออกแบบให้ใช้กับเครื่องเล่น หรือ แอมพ์ที่มีกำลังพลังสูงๆ ไม่งั้นเปิดมาเสียงจะแปลกๆ ใสแสบหู
- Impedance : 150 - 600 Ω หูฟังในกลุ่มนี้ต้องใช้แอมพ์ขับอย่างเดียว ข้อดีคือถ้าใช้กับอุปกรณ์ที่เข้ากันเสียงจะดีมากแต่ปัญหาอย่างนึงคือ เสียงที่ออกมานั้นถ้าไม่มีแรงดันไฟฟ้าหรือกระแสเพียงพอต่อการทำงานของอิมพีแดนซ์ก็จะทำให้เสียงออกมาไม่ดีนั่นเอง โดยอุปกรณ์ที่จะเข้ามาช่วยในการขับแอมป์ขึ้น นั่นก็คือ SoundCard
แต่ละคนก็จะมีความชื่นชอบและความหลงใหลในย่านเสียงแตกต่างกันออกไป แต่วิธีที่ดีที่สุดในการหาหูฟังที่เหมาะสมกับเรานั้นก็คือ การไปทดลองฟังหูฟังจริง ก่อนที่เราจะทำการซื้อนั่นเอง สำหรับใครที่มองหาหูฟัง พร้อมคำแนะนำดี สามารถเข้ามาหาซื้อได้ที่ HEADSET หรือ สอบถามได้ที่ เพจ ComputeAndMore เพราะที่นี่คืออีกระดับของคุณภาพ!