ภาษาไทย
Campaign

DELL, MONITOR (จอมอนิเตอร์) จอคอมพิวเตอร์ จอภาพคอม, GIGABYTE MONITOR (จอคอมพิมเตอร์) จอมอนิเตอร์ คอมพิวเตอร์, EIZO MONITOR (จอคอมพิวเตอร์) จอมอนิเตอร์, XIAOMI

ไม่พบสินค้า
ขออภัยในความไม่สะดวก ไม่พบสินค้าที่คุณค้นหา

จอมอนิเตอร์ (Monitor) คืออะไร?

Monitor หรือที่เรียกอีกอย่างว่า VDU ที่ย่อมาจาก Visual Display Unit เป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ซึ่งทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ โดยรับข้อมูลแล้วแปลงออกมาเป็นสัญญาณภาพ ไม่ว่าจะเป็นภาพ ตัวอักษร ตัวเลข สัญลักษณ์ รวมไปถึงสีสันต่าง ๆ ด้วย ซึ่งผลลัพธ์ที่ถูกแสดงออกมานั้นจะเปลี่ยนแปลงไปตามข้อมูลที่คอมพิวเตอร์ได้รับนั่นเอง
หน้าจอ Monitor ในภาษาไทยนั้นสามารถเรียกได้หลายอย่าง เช่น จอภาพ จอภาพคอมพิวเตอร์ หน้าจอคอม เป็นต้น แต่ไม่ว่าจะเรียกอย่างไรจอมอนิเตอร์นั้นก็ยังคงเป็นตัวกลางที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างผู้ใช้งานกับคอมพิวเตอร์ หากไม่มีหน้าจอนี้แล้ว ผู้ใช้งานก็จะไม่สามารถรับรู้ผลลัพธ์จากการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ได้เลย

ประเภทของจอมอนิเตอร์ (Monitor) 

จอมอนิเตอร์สามารถจำแนกประเภทได้จากแผง Panel (แผงหน้าปัด) ของจอ Monitor โดยแผง Panel ที่ปัจจุบันนิยมใช้มีด้วยกัน 3 ประเภท ได้แก่แบบ TN, แบบ VA และแบบ IPS ดังนี้

1. จอมอนิเตอร์ แบบ TN (Twisted Nematic)

จอมอนิเตอร์แบบ TN เป็นจอคอมพิวเตอร์ที่มีจุดเด่นสำคัญคือเวลาตอบสนองที่รวดเร็ว สามารถทำอัตรารีเฟรชถึง 240 Hz และที่สำคัญคือ ราคาหน้าจอมอนิเตอร์ประเภทนี้ถูกกว่าประเภทอื่น ทำให้จอแบบ TN เป็นหนึ่งในตัวเลือกของเกมเมอร์หลายคนที่ให้ความสำคัญกับความเร็วของภาพ 
อย่างไรก็ตามในด้านคุณภาพของสีและภาพนั้นไม่โดดเด่นมากนัก เพราะมีมุมมองด้านข้างที่แคบและสีค่อนข้างเพี้ยน ซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับการใช้งานด้านภาพและสีที่ต้องการรายละเอียดและความแม่นยำสูง

2. จอมอนิเตอร์ แบบ VA ( Vertical Alignment)

จอมอนิเตอร์แบบ VA เป็นจอคอมพิวเตอร์ที่มีจุดเด่นคือค่า Contrast Ratio หรืออัตราส่วนความแตกต่างของสีขาวกับสีดำ ยิ่งมีค่ามาก ความคมชัดก็จะมากขึ้นตาม โดยจอภาพแบบ TN และ IPS มีค่า Contrast Ratio อยู่ที่ 1000 : 1 แต่ หน้าจอแบบ VA มีค่า Contrast Ratio ถึง 2000 : 1 หรือถ้าเป็นรุ่นที่สเปคสูงขึ้นก็อาจมีค่านี้สูงไปถึง 4500 : 1 หรือ 6000 : 1 เลยทีเดียว
แต่ในด้านอื่นนั้นหน้าจอคอมพิวเตอร์รุ่นนี้ก็ไม่ได้โดดเด่นมาก เมื่อเทียบกับจออีก 2 ประเภท ซึ่งทำให้ราคาจอแบบ VA รุ่นมาตรฐานทั่วไปไม่สูงเท่าแบบ IPS แต่ก็ไม่ได้เป็นจอคอมพิวเตอร์ราคาประหยัดเท่ากับแบบ TN โดยจอประเภทนี้เหมาะสำหรับการดูหนัง ทำให้เรามักเห็นจอภาพคอมพิวเตอร์ประเภทนี้ถูกนำไปใช้เป็นหน้าจอโทรทัศน์ด้วยนั่นเอง

3. จอมอนิเตอร์ แบบ IPS (In-Plane Switching)

จอมอนิเตอร์แบบ IPS เป็นจอคอมพิวเตอร์ที่มีจุดเด่นในด้านของภาพและสี เพราะให้มุมมองกว้างที่สุด และสีเพี้ยนน้อยจนแทบไม่เพี้ยนเลย ซึ่งเหมาะอย่างมากกับการใช้งานเกี่ยวกับภาพและสีที่ต้องการรายละเอียดและความแม่นยำสูง เช่น การทำกราฟิก 
แต่ด้วยจุดเด่นนี้ก็ทำให้ราคาจอคอมพิวเตอร์ประเภทนี้สูงขึ้นตามไปด้วย โดยทั่วไปสามารถทำอัตรารีเฟรชที่ 60 Hz หากต้องการมากกว่านี้ ราคาจอภาพก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น

 

วิธีวัดประสิทธิภาพของหน้าจอมอนิเตอร์ (Monitor) 

การวัดประสิทธิภาพของจอภาพคอมพิวเตอร์ สามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีนั้นก็จะมีการวัดที่แตกต่างกันไป ดังนี้

1. ความสว่างของหน้าจอ

วิธีแรกคือการวัดความสว่างของหน้าจอ โดยค่ามาตรฐานมักจะอยู่ที่ประมาณ 120 – 500 cd/m2 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งานและแสงสว่างจากภายนอก และความสว่างก็ไม่ควรจะน้อยหรือมากเกินไปด้วย

2. ขนาดของจอภาพ

ขนาดของจอภาพก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ เพราะขนาดของหน้าจอคอมพิวเตอร์จะสัมพันธ์กันกับลักษณะการใช้งาน หากจอภาพมีขนาดที่ไม่เหมาะกับการใช้งานแล้ว ก็อาจทำให้ประสิทธิภาพในการใช้งานของคอมพิวเตอร์ลดน้อยลงไปด้วย

3. อัตราส่วนของจอภาพ

จอมอนิเตอร์ในปัจจุบันจะมีอัตราส่วนของจอภาพหลัก ๆ 3 อัตราส่วน ได้แก่ 4 : 3 ซึ่งจะเป็นหน้าจอคอมพิวเตอร์แบบทั่วไป ส่วน 16 : 9 และ 16 : 10 จะเป็นหน้าจอแบบกว้างหรือที่เรียกว่า Wide Screen ซึ่งหน้าจอในลักษณะนี้เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความกว้างของหน้าจอ เช่น การดูหนัง การทำกราฟิก หรือการตัดต่อวีดิโอ เป็นต้น

4. ความละเอียดของจอภาพ

ความละเอียดของจอภาพเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยวัดประสิทธิภาพหน้าจอคอมพิวเตอร์ โดยวัดจากจำนวนพิกเซลตามความกว้างและความสูงที่สามารถแสดงผลได้ ได้แก่ Full HD คือความละเอียดของจอภาพ 1920 x 1080 (1080p), 2K (QUD) คือความละเอียดของจอภาพ 2560 x 1440 (1440p) และ 4K (UHD) คือความละเอียดของจอภาพ 4096 x 2160 และ 3840 x 2160

5. ระดับพิกเซล

ความคมชัดของจอคอมพิวเตอร์สามารถวัดได้ด้วยระยะห่างของพิกเซลสีเดียวกัน (ในหน่วยมิลลิเมตร) หรือเรียกว่าระดับพิกเซล ซึ่งระดับพิกเซลจะแปรผกผันกับความคมชัด คือยิ่งระดับพิกเซลมีค่าน้อย ความคมชัดของภาพก็จะยิ่งมากขึ้น

6. อัตรารีเฟรช

อัตรารีเฟรช หรือ Refresh Rate คือจำนวนครั้งที่ภาพถูกฉายบนจอมอนิเตอร์ภายใน 1 วินาที ฉะนั้นหากค่าอัตรารีเฟรชยิ่งมากก็จะยิ่งทำให้การแสดงผลของหน้าจอคอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

7. เวลาตอบสนอง

เวลาตอบสนองคือเวลาที่ใช้ขณะพิกเซลเปลี่ยนจากสีดำเป็นขาว และเปลี่ยนกลับมาเป็นสีดำอีกครั้ง ภายในมิลลิวินาที โดยเวลาตอบสนองนี้ยิ่งน้อยก็จะยิ่งทำให้การแสดงผลของจอภาพคอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

8. อัตราส่วนความแตกต่าง

อัตราส่วนความแตกต่าง หรือ Contrast Ratio คืออัตราส่วนความแตกต่างของสีขาว (สีที่ส่องสว่างที่สุด) กับสีดำ (สีที่มืดที่สุด) โดยยิ่งค่านี้สูงมากขึ้น ก็ทำให้หน้าจอคอมพิวเตอร์แสดงสีที่จัดจ้านและคมชัดมากยิ่งขึ้นไปด้วย

9. การใช้พลังงาน

นอกจากการแสดงภาพออกมาได้คมชัดและรวดเร็วแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยคือการใช้พลังงานที่พอดี ไม่ควรจะใช้พลังงานมากเกินไป เพราะจะทำให้กินไฟมาก จึงทำให้ปัจจุบันมีหน้าจอคอมหลายรุ่นที่สามารถควบคุมการใช้งานไม่ให้ใช้พลังงานมากเกินไปนั่นเอง

10. มุมในการมอง

จอคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพนั้นจะต้องแสดงภาพที่ปรากฏบนหน้าจอได้อย่างชัดเจนรอบด้าน แม้จะอยู่ในมุมที่หันเหหน้าจอออกไปแล้วคุณภาพก็ยังไม่ลดลง โดยจอมอนิเตอร์บางประเภทนั้นมีมุมมองที่กว้างที่สุดประมาณ 178 องศา ซึ่งจะทำให้เราเห็นภาพบนจอภาพคอมพิวเตอร์ได้อย่างชัดเจน

 

ข้อควรรู้ในการเลือกซื้อหน้าจอมอนิเตอร์ (Monitor) 

การเลือกซื้อจอคอมพิวเตอร์ในแต่ละครั้ง มีสิ่งที่ควรรู้และคำนึงถึงเพื่อให้ได้จอมอนิเตอร์ที่มีประสิทธิภาพ และสามารถใช้งานได้อย่างยาวนานให้คุ้มกับราคาที่จ่าย โดยข้อควรรู้หลัก ๆ ที่ควรคำนึงถึงมีดังนี้

1. เลือกจากการใช้งานเป็นหลัก

จอภาพคอมพิวเตอร์ทั้ง 3 ประเภทที่ได้กล่าวไปมีจุดเด่นในการใช้งานที่ต่างกัน เพื่อให้ใช้งานอย่างคุ้มค่า ควรรู้ก่อนว่าต้องการใช้งานแบบไหนเป็นหลัก อย่างจอมอนิเตอร์แบบ TN เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไปหรือการเล่นเกม ส่วนจอแบบ VA เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความคมชัดของภาพเช่นการดูหนัง และจอภาพแบบ IPS เหมาะกับการใช้งานกราฟิกหรืองานที่ต้องการคุณภาพของภาพและสีที่สูงนั่นเอง

2. เลือกจากประสิทธิภาพของหน้าจอที่ต้องการ

จอคอมพิวเตอร์แต่ละประเภทมีประสิทธิภาพที่แตกต่างกัน เพื่อให้ได้จอมอนิเตอร์ที่ตรงกับความต้องการใช้งานมากที่สุด จึงควรทราบถึงรูปแบบการใช้งานหลักของเราเสียก่อน จะช่วยให้เลือกจอภาพคอมพิวเตอร์ที่ถูกใจและมีประสิทธิภาพตรงกับการใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้น

3. เลือกตามงบประมาณที่กำหนดไว้

ราคาจอคอมพิวเตอร์นั้นมีหลากหลายแตกต่างกันไปตามสเปคและประสิทธิภาพ หากเรารู้การใช้งานและประสิทธิภาพที่ต้องการแล้ว ก็จะช่วยให้กำหนดราคาจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในงบประมาณได้ โดยไม่ต้องซื้อหน้าจอราคาสูงจนเกินความจำเป็น

4. เลือกจากประสบการณ์การใช้งาน

นอกจากข้อควรรู้ในการเลือกทั้ง 3 ข้อที่กล่าวไปแล้ว เราอาจจะนำประสบการณ์การใช้จอคอมพิวเตอร์เครื่องเก่ามาเปรียบเทียบด้วยว่ามีจุดเด่นจุดด้อยอย่างไร เพื่อให้ได้หน้าจอใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม ไม่เจอกับปัญหาเก่า ๆ ที่เคยพบมา และอาจเลือกซื้อเผื่อการใช้ในอนาคตเล็กน้อย เพื่อให้เราสามารถใช้งานจอมอนิเตอร์ได้ยาวนานและคุ้มค่ามากที่สุด

 

ทำไมต้องซื้อจอมอนิเตอร์กับ Compute And More?

เลือกซื้อจอมอนิเตอร์กับ Compute And More ผู้เชี่ยวชาญเรื่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่เป็นมืออาชีพมานานกว่า 20 ปี มีบริการให้คำปรึกษา สามารถแนะนำหน้าจอและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทุกชนิด นอกจากนี้ยังพร้อมด้วยสินค้าคุณภาพจากหลากหลายแบรนด์ให้เลือกซื้อได้เลยทุกชิ้นส่วน เพื่อให้ได้คอมพิวเตอร์ที่มีคุณภาพ คุ้มค่า ราคาดี และตอบโจทย์การใช้งานทุกรูปแบบ
ขั้นตอนการเลือกซื้อก็สะดวก เพียงกดเลือกจอมอนิเตอร์หรืออุปกรณ์ที่ต้องการผ่านระบบบนหน้าเว็บไซต์ ก็สามารถซื้อหน้าจอคอมพิวเตอร์กับ Compute And More ตามสเปคที่ต้องการได้อย่างสะดวก อีกทั้งยังมีบริการจัดส่งทั่วประเทศไทยภายใน 1 – 4 วัน เพื่อให้ลูกค้าได้รับสินค้าที่มีคุณภาพอย่างรวดเร็ว